วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองดอกบัวงาม งามล้ำเทียนพรรษา...อุบลราชธานี

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองดอกบัวงาม งามล้ำเทียนพรรษา...อุบลราชธานี



อันดับ10: หาดศรีภิรมย์(บุ่งสระพง),อำเภอเมือง




     แพริมฝั่งน้ำมูลที่หาดศรีภิรมย์ ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานี ไปตามเส้นทางอุบลราชธานี - อำเภอตาลสุม ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร ถึงบ้านปากน้ำเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีแพริมน้ำมูลอยู่มากมาย น้ำใสสะอาด เหมาะเเก่การลงเล่นน้ำ เเละพักผ่อน ในสถานที่ที่ไม่ไกลจาตัวเมืองมากนัก



อันดับ9: น้ำตกเเสงจันทร์,อำเภอโขงเจียม



     อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 41 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก สูงประมาณ 8 เมตร เกิดจากลำห้วยท่าโลงไหลตกลงจากเพิงหน้าผาเป็นช่องโพรงอันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติ ลักษณะของโพรงมองดูคล้ายรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีเส้นผาศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร ก่อนไหลลงสู่ลำน้ำโขง



อันดับ8: ผาชนะได,อำเเภอโขงเจียม


     
เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของประเทศไทย ที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นคำนวณเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตั้งอยู่ในป่าดงนาทาม ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพิกัดภูมิศาสตร์ที่ ละติจูด 15 องศา 37 ลิปดา 3.5 พิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 พิลิปดา ตะวันออก  และตามแนวหน้าผา บนภูเขาที่ทอดยาวขนานไปตามลำน้ำโขง นับเป็นจุดขมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นลำน้ำโขง และภูเขาสูงทะมึนสลับซับซ้อน ที่ปกคลุมไปด้วยป่าเขียวขจีของฝั่งลาวได้ รวมทั้งเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองไทย ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 



อันดับ7: ช่องเม็ก,อำเภอสิรินธร



     เป็นจุดผ่านแดนไทย-ลาว ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสิรินธร ห่างจากตัวจังหวัดราว 90 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อระหว่างไทยกับลาว ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนจุดเดียวในภาคอีสาน ที่สามารถเดินทางไป ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยทางพื้นดิน ในขณะที่จุดอื่นจะต้องข้ามลำน้ำโขง และเป็นที่สิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 217 จากอุบลราชธานี



อันดับ6: ผาเเต้ม,อำเภอโขงเจียม



     เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยูทางตะวันออกสุดของประเทศไทย สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นจุดแรกของประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี จุดที่น่าสนใจคือภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ผาแต้ม ผาหมอน ผาลาย ประติมากรรมธรรมชาติเสาเฉลียง และจุดชมพระอาทิตย์แสงแรกแห่งสยาม อุทยานแห่งชาติผาแต้มมีพื้นที่ราว 340 ตารางกิโลเมตร (212,500 ไร่)



อันดับ5: วัดหนองป่าพง,อำเภอวารินชำราบ



     เป็นวัดที่มีบรรยากาศร  ร่มรื่นเงียบสงบ เหมาะแก่การเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน สภาพทั่วไปเป็นหนองน้ำมีต้นพงขึ้นอยู่ทั่วไป อยู่ในอำเภอวารินชำราบ บนทางหลวง หมายเลข 2178 ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ 6 กม. ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สีขาวทั้งหลัง นอกจากนี้ยังมีหุ่นขี้ผึ้งของพระอาจารย์หลวงปู่ชา พระชื่อดังสายวิปัสสนา ผู้เริ่มก่อสร้างวัดนี้ ขึ้นมา และเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป



อันดับ4: น้ำตกห้วยหลวง(บักเตว) อุทยานเเห่งชาติภูจองนายอย,อำเภอนาจะหลวย



     ตั้งอยู่กลางป่าสมบูรณ์ไหลตกจากหน้าผาสูง 45 เมตร ถือได้ว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด และงดงามที่สุดของภาคอีสานตอนล่าง ไหลตกจากหน้าผาสูงชัน ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ และลานหินหาดทราย ด้านล่างมีบันไดทางลงจากศาลาชมทิวทัศน์สู่น้ำตกด้านล่าง นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกทลายแห่ง เช่น น้ำตกเกิ้งแม่ฟอง น้ำตกถ้ำบอน น้ำตกจุ๋มจิ๋ม น้ำตกห้วยทรายใหญ่ (แก่งอีเขียว) เป็นต้น



อันดับ3: น้ำตกสร้อยสวรรค์ อุทยานเเห่งชาติผาเเต้ม,อำเภอโขงเจียม


     อยู่ในเขตอำเภอโขงเจียม ภายในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2112 ห่างจากอำเภอโขงเจียมประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลจากหน้าผาสูงชันสองด้าน ซึ่งเกิดจากลำห้วยสร้อยและลำแซไผ่ ตกลงมาบรรจบกันคล้ายสายสร้อย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง สูงประมาณ 20 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี เป็นน้ำตกที่มีคนนิยมไปเที่ยวกันมาก นอกจากนี้ บริเวณน้ำตกยังมีต้นไม้และดอกไม้ป่า ช่วยเสริมบรรยากาศความงามของน้ำตกแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง ผืนป่าและหน้าผาหินฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน ฤดูที่น่าเที่ยวควรจะเป็นหลังฤดูฝนใหม่ๆ เพราะจะมีน้ำมาก



อันดับ2: พัทยาน้อย,อำเภอสิรินธร


     หาดพัทยาน้อย หรือบางทีก็เรียกกันว่า ทะเลอีสานใต้ ตั้งอยู่ที่บ้านใหม่ภูทอง ต.คันไร่ อ.สิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธร จากวารินชำราบมาตามหางหลวงหมายเลข 217 (ถนนสถิตนิมานกานต์) ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร และอีกจุดหนึ่งอยู่ห่างกัน 2 กิโลเมตร (หลักกิโลเมตรที่ 62 และ 64 ตามลำดับ) หรือห่างจากเขื่อนสิรินธรประมาณ 10 กิโลเมตร ลักษณะของพื้นที่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำเป็นพื้นทรายกว้างและยาวเข้าไปกลางน้ำ จึงมีคนมาเปิดร้านอาหาร รีสอร์ท ร้านกาแฟ มีลักษณะเป็นแพกลางน้ำ ในฤดูน้ำน้อยระดับน้ำเหนือเขื่อนสิรินธรต่ำลงมากๆ จะเห็นเป็นหาดทรายขาว ลงเล่นน้ำได้ ด้วยความพยายามที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ จึงมีพ่อค้าแม่ค้านำเอาเรือ เจ็ตสกี และห่วงยางมาให้บริการ พัทยาน้อยจึงกลายมาเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจที่เพียบพร้อมด้วยบริการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในทุกด้าน



อันดับ1: สามพันโบก,อำเภอ



     "สามพันโบก" หรือแกรนด์แคนยอนเมืองไทย เป็นที่เลืองชื่อลือนามถึงความมหัศจรรย์และความงดงาม ที่แต่ละปีจะเผยโฉมโผล่พ้นน้ำออกมาให้ได้ยลความงามเพียงแค่ช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนพฤษภาคมเท่านั้น เพราะในช่วงฤดูน้ำหลาก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – ตุลาคม สามพันโบกจะซุกซ่อนความอัศจรรย์ไว้ใต้แม่น้ำโขงอย่างมิดชิด









ข้อมูลและภาพ:wiki/google/travel.kapook.com/www.touronthai.com/พัทยาน้อย-/www.oceansmile.com/www.guideubon.com
เรียบเรียง:thail-journey.blogspot.com



ป้ายกำกับ: ,

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 อันดับจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดของไทย

10 อันดับจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดของไทย

  • อันดับ 10 : จังหวัด ลำปาง

    จังหวัดลำปาง มีขนาดพื้นที่ประมาณ 12,534 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 761,949 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเดิมว่า เขลางค์นคร เป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองรถม้า สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดลำปางได้แก่ ดอยลังกาหลวง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน วัดปงสนุก วัดพระแก้วดอนเต้า กาดกองต้า
  • อันดับ 9 : จังหวัด เพชรบูรณ์

    จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ประมาณ 12,668 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 996,031 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคเหนือตอนล่างและตอนบนของภาคกลาง ของประเทศไทย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์ได้แก่ ภูทับเบิก เขาค้อ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ น้ำตกงามศรีดิษฐ์
  • อันดับ 8 : จังหวัด แม่ฮ่องสอน

    เมืองสามหมอก จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ประมาณ 12,681 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 242,742 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย มีความโดดเด่นหลายลักษณะ โดยเฉพาะสภาพภูมิประเทศ ความหลากหลายด้านวัฒนธรรม และความหลากหลายของประชากรจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ นับเป็นจังหวัดที่สถิติน่าสนใจหลายอย่าง เช่น มีประชากรเบาบางที่สุดในประเทศ และมีประชากรน้อยมากเป็นอันดับ 5 ในขณะที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้แก่ ปาย ปางอุ๋ง ดอยปุยหลวง ทุ่งดอกบัวตอง
  • อันดับ 7 : จังหวัด ชัยภูมิ

    จังหวัดชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับ 7 ของประเทศ โดยมีเนื้อที่ประมาณ 12,778.3 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,127,423 คน (ข้อมูลปี 2553) นับเป็นที่ตั้งของแหล่งอารยธรรมอันเก่าแก่ นับตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม กระทั่งสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรล้านช้าง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดชัยภูมิได้แก่ มอหินขาว ป่าหินงาม ทุ่งดอกกระเจียว
  • อันดับ 6 : จังหวัด สุราษฎร์ธานี

    จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีขนาดพื้นที่ประมาณ 12,891 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,000,383 คน (ข้อมูลปี 2553) มักจะเรียกกันด้วยชื่อสั้น ๆ ว่า "สุราษฎร์" ใช้อักษรย่อ "สฎ" เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศ และมีประชากรหนาแน่นอันดับ 64 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และโบราณคดีเก่าแก่ และยังมีแหล่งท่องเที่ยวและอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้แก่ เกาะเต่า เกาะพงัน เกาะสมุย เขื่อนรัชชประภา
  • อันดับ 5 : จังหวัด อุบลราชธานี

    จังหวัดอุบลราชธานี มีขนาดพื้นที่ 16,113 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,813,088 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดทางตะวันออกสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทย ทั้งยังเป็นตำบลที่ตั้งของเส้นเวลาหลักของประเทศ ที่เส้นแวง 105 องศาตะวันออก โดยเป็นจังหวัดแรกที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ก่อนพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 200 ปี มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายหลังถูกแบ่งออกเป็นจังหวัดใหม่คือจังหวัดยโสธรในปี พ.ศ. 2515 และจังหวัดอำนาจเจริญในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถ้ารวมพื้นที่อีกสองจังหวัดที่แยกออกไป จังหวัดอุบลราชธานีจะมีพื้นที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด อุบลราชธานีได้แก่ สามพันโบก ผาแต้ม เขื่อนสิรินธร
  • อันดับ 4 : จังหวัดตาก

    จังหวัดตาก มีขนาดพื้นที่ประมาณ 16,407 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 525,684 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคกลางตอนบนหรือบางแห่งจัดอยู่ในภาคตะวันตก ของไทย มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ แต่มีประชากรเบาบางที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดชายแดนที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่งของไทย มีประวัติศาสตร์เก่าแก่นับแต่สมัยกรุงสุโขทัย ทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่งดงามหลายแห่งด้วย นอกจากนี้จังหวัดตากยังเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อจังหวัดอื่น ๆ มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีอาณาเขตติดต่อถึง 9 จังหวัด แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด ตากได้แก่ น้ำตกทีลอซู น้ำตกปิ๊ตุ๊โกร อุ้มผาง ม่อนกิ่วลม
  • อันดับ 3 : จังหวัด กาญจนบุรี

    จังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะทางภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นป่า ซึ่งจะมีทั้งป่าดงดิบและป่าโปร่ง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 839,776 คน (ข้อมูลปี 2553) มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานพันธมิตร น้ำตกเอราวัณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น สวนไทรโยก เขื่อนเขาแหลม
  • อันดับ 2 : จังหวัด เชียงใหม่

    จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ และมีจำนวนประชากรประมาณ 1.63 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศ แบ่งการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ โดยที่อำเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นอำเภอลำดับที่ 25 ของจังหวัด และลำดับที่ 878 ของประเทศ แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด เชียงใหม่ ได้แก่ ดอยอินทนนท์ พระธาตุดอยสุเทพ ห้วยน้ำดัง ขุนช่างเคี่ยน
  • อันดับ 1 : จังหวัด นครราชสีมา

    จังหวัดนครราชสีมา หรือรู้จักในชื่อ โคราช มีขนาดพื้นที่ 20,494 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 2,582,089 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทยและมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดกับจังหวัดขอนแก่น จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด นครราชสีมา ได้แก่ เขาใหญ่ วังน้ำเขียว ปราสาทหินพิมาย พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน








    ข้อมูลและภาพ:wiki/google/www.moohin.in.th
    เรียบเรียง:thail-journey.blogspot.com



ป้ายกำกับ: ,

10 อันดับอาหารข้างทางยอดนิยมของไทย

10 อันดับอาหารข้างทางยอดนิยมของไทย



10 .ขนมครก
 
      ขนมตั้งแต่สมัยโบราณ หยอดกะทิลงในเบ้าของเตาเผากลายมาเป็นขนมครกสุดอร่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีขายเยอะเหมือนสมัยก่อน เพราะคนที่ทำขายในสมัยก่อนก็หมดรุ่นไปแล้วในยุครุ่นลูกๆก็ไม่ค่อยมีคนทำสักเท่าไหร่ ถ้าจะหาดีๆคงเจอแถวในตลาดใหญ่ๆบางที่ ไม่รู้เหมือนกันว่า CNNGO ไปเจอกินแล้วติดใจมาที่จากไหน อิอิ


 9. ข้าวเหนียวมะม่วง
     ผลไม้ไทยที่ชาวต่างชาติชอบนักชอบหนารวมถึงคนไทยก็ด้วย ในหน้าร้อนของไทย การกินข้าวเหนียวมะม่วงเหมือนสวรรค์ในหน้าร้อนจริงๆ จะหาซื้อก็ไม่ยาก ตามร้านผลไม้ในตลาดมีทั้งที่ปลอกมาให้เสร็จสรรพถ้าขี้เกียจจะปลอกเอง และแบบซื้อมาปลอกเองแบบสดๆก็มีจัดให้ตามความต้องการ


8. ชาเย็น
     ในสายตาฝรั่งนี้ถือเป็นของไทยเราสำหรับ ชาเย็น กับอากาศร้อนๆในประเทศไทย ถ้าได้ชาเย็นๆรสหวานนุ่มคอกำลังดีสักแก้วเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก ยิ่งบอกว่าเป็นสูตรโบราณสภาพร้านดูเก่าๆยิ่งท่าทางน่าอร่อย!! ส่วนร้านขายก็มีเยอะแยะไปหมด ตามร้านชงกาแฟ หรือบางทีเป็นรถพ่วงชงขายก็มีเหมือนกัน


 7. ขนมจีน
     ขนมจีนไม่ใช่อาหารจีน แต่เป็นอาหารไทย ฮ่าๆ เส้นขนมจีนเหนียวๆนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนน้ำเงี้ยว ขนมจีนแกงเขียวหวาน อร่อยทุกอย่าง หาซื้อก็ไม่ยากเท่าไหร่ตามแหล่งย่านการค้าทั่วไป ทั้งนั่งกินที่ร้านและซื้อกลับมากินที่บ้าน เ



 6. หมูแดดเดียว
     อาหารที่ค่อนข้างแปลกตาสำหรับคนตะวันตก เอาเนื้อหมูมาหั่นเป็นชิ้นๆทำเป็นแดดเดียว บางทีก็ทำเป็นหมูแผ่นมั่ง ทำเป็นหมูฝอยมั่ง กินกับน้ำจิ้มรสเด็ด ธรรมดาเรียบง่ายแต่อร่อยอย่าบอกใคร หาซื้อได้ตามร้านหรือแผงในตลาดใหญ่ๆทั่วไปไม่ยาก



 5. ข้าวผัดปู
             
     คงไม่น่าจะเกี่ยวกับนายกหญิงของเรา ที่ทำให้ข้าวผัดปูฮิตติดตลาด ข้าวผัดถือว่าเป็นเมนูสิ้นคิดตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไปแทบทุกร้าน แต่ข่าวผัดปูนั้นมีความอร่อยของเนื้อปูหวานนุ่มลงไป รสชาติก็ต้องอร่อยกว่าข้าวผัดธรรมดาทั่วไปอยู่แล้วหล่ะ



 4. ก๋วยเตี๋ยวเรือ
     ไม่แน่ใจว่าฝรั่งจะเข้าใจว่าต้องไปนั่งกินกันบนเรือจริงๆด้วยหรือเปล่า ด้วยความที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ต้องเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่แทบทุกที่ ในตัวเมือง ต่างจังหวัด ในห้าง ในตลาด ร้านริมทางข้างมหาลัย ข้างออฟฟิศ หน้าปากซอยหน้าบ้าน จะเยอะไปไหน!! เลยกลายเป็นของอร่อยริมทางยอดนิยมไปอีกหนึ่งอย่าง



 3. หมูปิ้ง
     อีกหนึ่งเมนูที่หลายๆคนชอบกินนั้นก็คือ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง เนื่องจากหลายคนต้องรีบไปทำงาน ไปโรงเรียนบ้างในตอนเช้าๆ เลยไม่มีเวลาทำอาหารกินเอง ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งกินอร่อยอิ่มแปล้อยู่ท้องไปถึงเที่ยง แถมยังหาซื้อไม่ยากด้วย ตามตลาด หรือตั้งแผงขายอยู่ข้างทางก็มีให้เห็นเยอะแยะ



 2. ส้มตำ
         
     ด้วยความแซ่บจัดจ้านของส้มตำ เป็นอาหารของชาวอีสานบ้านเฮา แค่สามารถหาซื้อได้แทบทุกที่ในประเทศไทยตามตรอกซอกซอย รถเข็นขาย หรือร้านอาหารอีสานข้างทาง ไม่ว่าจะเป็น ส้มตำไทย ส้มตำปูเค็ม ส้มตำไทยปูปลาร้า บอกได้เลยว่าแซ่บอีหลีสุดๆเด้อ!!



 1. ผัดซีอิ๊ว
               
     ยกนิ้วให้ผัดซีอิ้วคือสุดยอดอาหารข้างทางของกรุงเทพมหานคร โดยรายงานบอกอีกว่า กทม. ถือเป็นสวรรค์ของอาหารประเภทนี้โดยแท้จริง สำหรับผัดซีอิ๊วนั้น มีรสชาติที่อร่อยถูกปากทั้งคนไทยและฝรั่งตาน้ำข้าว แถมยังหาซื้อได้ตามร้านอาหารข้างทางไม่ยากอีกต่างหาก






ข้อมูลและภาพ:wiki/google /www.toptenthailand.com
เรียบเรียง:thail-journey.blogspot.com


ป้ายกำกับ: ,

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 อันดับสถานที่ที่โรแมนติกที่สุดในไทยที่คู่รักไม่ควรพลาด


10 อันดับสถานที่ที่โรแมนติกที่สุดในไทยที่คู่รักไม่ควรพลาด


10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
1. อ่าวมาหยา เกาะพี พี จังหวัดกระบี่
     เลื่องชื่อแห่งท้องทะเลกระบี่ที่โด่งดังเป็นที่ประจักษ์กับสายตาชาวโลกมาแล้ว ธรรมชาติงดงามลงตัว ทั้งชายหาดขาว น้ำทะเลใส วิวสวย และเป็นอ่าวที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในแนวกำบังของกำแพงผา ทำให้อ่าวมาหยาเหมาะอย่าง ยิ่งกับการใช้เวลาที่แสนสงบ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ และเผยความในใจกับคู่รักแบบมีสายลม แสงแดด และภูผา เป็นพยานก็โรแมนติกไปอีกแบบ
ทั้งนี้เกาะพีพีได้จัดเป็นเกาะที่มีความสวยงาม ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยมีเอกลักษณ์ คือ การโค้งของอ่าวที่ตีวงเข้าหากัน และมีหาดทรายคั่นตรงกลาง นอกจากนี้ เกาะพีพียังเป็นที่นิยมของนักท่องเทียวที่จะมา ดำน้ำ เพื่อจะดูปะการังอีกด้วย
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย

2. ทะเลแหวก จังหวัดกระบี่
     ทะเลแหวกเป็นสันทรายที่โผล่ออกมาหลังจากน้ำทะเลลดระดับลง  ทะเลแหวก มีลักษณะพื้นที่ซึ่งติดกันระหว่าง 3 เกาะ คือเกาะไก่ เกาะทับ และเกาะหม้อ ทั้ง 3 เกาะนี้มีสันทรายเชื่อมถึงกัน ซึ่งจะเห็นสันทรายจะโผล่ขึ้นมาเหมือนแนวสันทรายแหวกน้ำทะเลตอนที่น้ำลด และหายไปในตอนที่น้ำขึ้น ทะเลแหวกมีหาดทรายขาวสะอาด เพราะน้ำที่ท่วมสันทรายได้กวาดใบไม้ และขยะไปกับทะเล ควรมาเที่ยวชมในช่วงเวลาที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุด โดยเฉพาะในวันก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ราว 5 วัน ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการฮันนีมูนของคู่บ่าวสาวก็ คือ ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึง ต้นพฤษภาคม นั่นเอง
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
3. ดอยอ่างขาง สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
     ตั้งอยู่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่  นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคู่รัก ซึ่งมีจุดเด่นเฉพาะตัวตรงที่อากาศเย็นสบายตลอดปี และยังมีบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงามอีกด้วย นอกจากนี้มี “สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง” อันเป็นอาคารไม้ดอกเมืองหนาว มีสวนดอกไม้ซึ่งจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะ ‘สวนแปดสิบ’ ที่สวยงามมากจนเป็นที่ยกย่องว่าเป็นเสมือนสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจจะไปเที่ยวหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ ก็มีมากมายเช่นกัน เป็นต้นว่า หมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอดำและมูเซอแดง ก็จะได้พบกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีสินค้าเกษตร และของที่ระลึกฝีมือชาวบ้านให้เลือกซื้อ หรือจะไป หมู่บ้านนอแล ของชนเผ่าปะหล่อง หรือดาละอั้ง ก็จะมีไกด์เด็กน้อยคอยพาชมทิวทัศน์ และเล่าเรื่องราวของชนเผ่าให้ฟัง
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
4. เกาะช้าง แห่งทะเลตะวันออก
     เกาะช้างตั้งอยู่ในพื้นที่ จ. ตราด นับเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทยรองจากเกาะภูเก็ต และเป็นหมู่เกาะที่มีเกาะบริวารมากถึง 52 เกาะด้วยกัน ซึ่งมีชายหาดที่น่าสนใจ เช่น หาดทรายขาว หาดไก่แบ้ ซึ่งเป็นหาดที่สวยงาม มีโรงแรมรีสอร์ท และร้านอาหารอยู่มากมาย ส่วนคู่รักที่ชอบอาหารทะเลแบบสด ๆ และราคาถูกต้องมาที่ หมู่บ้านชาวประมงบางเบ้า ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ปลายเกาะช้าง นั่นเอง  ปัจจุบันนอกจากเกาะช้างแล้ว เกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมอยู่ในหมู่เกาะช้าง ก็กำลังเริ่มเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ทั้งเกาะกูด เกาะหวาย เกาะหมาก เกาะขาม เกาะกระดาด ซึ่งหลายๆ เกาะในหมู่เกาะช้าง ต่างก็มีทะเลและปะการังที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างยิ่ง
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
5. เกาะตะรุเตา เกาะงามแห่งอันดามัน
     ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ได้รับความสนใจจากคู่รักในการมาเที่ยวพักผ่อนอยู่เสมอ เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงามคงอยู่ในระดับที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ จนได้รับยกย่องให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน โดยหมู่เกาะตะรุเตานี้ประกอบเกาะอีก 51 เกาะ ซึ่งมีเกาะขนาดใหญ่อยู่ 2 เกาะด้วยกันคือ เกาะตะรุเตา และ เกาะอาดัง-ราวี ซึ่งที่ตะรุเตานี้จะมีมุมโรแมนติกอยู่หลายมุมให้คู่รักได้สวีทกัน เช่น อ่าวพันเตมะละกา ซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาด และเป็นแหล่งชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยงาม ใกล้ๆ กันนั้นก็จะมีจุดชมวิวทิวทัศน์ของเกาะชื่อ “ผาโต๊ะบู” ส่วนเกาะอื่น ๆ ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน ทั้งเกาะอาดัง-ราวี เกาะหลีเป๊ะ เกาะกลาง และเกาะไข่ บริเวณนี้มีแนวปะการังที่สวยงามมาก โดยเฉพาะเกาะไข่นั้นมีซุ้มประตูหินธรรมชาติ ที่โดนกัดกร่อนจนทะลุเหมือนเป็นประตู กลายเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล คู่รักหลายๆ คู่นิยมมาจูงมือกันเดินลอดประตูหินแห่งนี้
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย

6. หมู่เกาะเหลาเหลียง จ.ตรัง
     ประกอบด้วยเกาะ 3 เกาะ เกาะเหลาเหลียงพี่ เกาะเหลาเหลียงน้อง และเกาะตะเกียง ทั้ง 3 เกาะ เป็นเกาะสัมปทานรังนก ดังนั้นเมื่อทำการท่องเที่ยวจึงมี เจ้าของเพียงเจ้าเดียว คือเจ้าของสัมปทานรังนกที่ลงมาทำการท่องเที่ยวเอง สิ่งที่ทำให้รายการท่องเที่ยวของเกาะเหลาเหลียงเป็นที่รู้จักคือความ สมบูรณ์ของเกาะทั้งสาม นับตั้งแต่หาดทรายขาวสะอาด หน้าผาและโขดหินที่สวยงาม น้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกตและใสสะอาด รวมทั้งเหล่าปะการังแข็ง ปะการังอ่อนแน่นขนัดที่เกาะตะเกียงด้วย เป็นสวรรค์ขอคู่ฮันนีมูนแท้ๆ เลยนะคะที่พัก ก็มีให้เลือกกันได้หลายที่ตามสะดวกค่ะมีทั้งที่พักในเมืองตรัง
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
7. ปาย เมืองหุบเขาแห่งสามหมอก
อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อ.ปาย มีชื่อเสียงมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับจุดน่าสนใจของ  อ.ปาย นั้นก็อยู่ที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ อากาศที่เย็นสบาย ความสงบของชุมชน และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่รีบร้อน ซึ่งมีทั้งชาวไทยใหญ่ และชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ที่มาเที่ยวเมืองปาย สามารถเช่ารถจักรยาน หรือรถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวรอบเมืองได้ โดยแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณนั้นคือ บ่อน้ำพุร้อนท่าปาย ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศาเซลเซียส หรือจะไปสักการะ เจดีย์พระธาตุแม่เย็น ที่วัดแม่เย็น แล้วแวะชมทิวทัศน์ของเมืองปายจากบนนี้ก็ได้
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
8. ภูชี้ฟ้า ทะเลหมอกเลื่องชื่อ
     สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสุดท้ายสำหรับคู่รักก็คือ ภูชี้ฟ้า ในจังหวัดเชียงราย โดยลักษณะเด่นของภูแห่งนี้ คือเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,628 เมตร มีหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว ความสวยงามและโรแมนติกของภูชี้ฟ้าถือว่างดงามไม่แพ้ที่อื่นๆ โดยเฉพาะยามเช้ามืดช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น ในวันฟ้าเปิดและอากาศหนาวเย็น นักท่องเที่ยวจะได้เห็นถึงสีสันของดวงอาทิตย์ยามเช้าที่แย้มกลีบเมฆโผล่พ้นขอบฟ้า ขึ้นมา ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ หลังจากนั้นที่เบื้องล่างก็จะเต็มไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลน ลอยละล่องเป็นที่ประทับใจของใครหลายๆ คน
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
9. ปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
     มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” เป็นพื้นที่โครงการในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่อันตราย อยู่ติดแนวชายแดนพม่า จึงให้รวมชนกลุ่มน้อยบริเวณนั้น และพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ และสร้างความมั่นคงแนวชายแดนตลอดไป
ปางอุ๋งมีพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำเป็นทิวสนที่ปลูกเรียงรายกัน “ปาง” คือ ที่พักของคนทำงานในป่า ส่วน “อุ๋ง” หมายถึงที่ลุ่มต่ำคล้ายกระทะน้ำขัง ก็น่าจะหมายถึงที่พักริมอ่างเก็บน้ำ ภาพสวยงามของไอหมอกที่ลอยเหนือทะเลสาป กับบรรยากาศอันหนาวเหน็บในยามเช้า ทำให้ปางอุ๋ง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมาแรง สุดแสนโรแมนติกติดอันดับต้น ๆ ของแม่ฮ่องสอน ยิ่งยามพระอาทิตย์ขึ้นจะสะท้อนผืนน้ำผ่านทิวสนและไอหมอกบาง ๆ ยิ่งเป็นภาพที่ สร้างความประทับยากจะลืมเลือน แม้ในกระทั่งเวลาที่หมอกเลือนลางหายไปก็ยังคงความงาม เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียวสำหรับคู่ฮันนีมูนที่ชอบอากาศหนาว เย็นแสนบรรยากาศโรแมนติก
10 สถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของเมืองไทย
10. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา
     เป็นหมู่เกาะในทะเลอันดามัน ห่างจากฝั่งไปทางทิศตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร ติดกับพม่า ประกอบด้วยเกาะสำคัญ 5 เกาะ คือ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะไข่ (เกาะตอรินลา) เกาะกลาง (เกาะปาจุมบา) และเกาะรี (เกาะสต๊อก) เป็นหมู่เกาะที่มีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์สวยงามมาก มีปลาสีสันต่างๆ มากมาย เหมาะสำหรับชมปะการังน้ำตื้น โดยเฉพาะเกาะไข่ ส่วนบริเวณที่เหมาะจะดำน้ำลึก คือ กองหินริเชลิว อยู่ห่างจากเกาะสุรินทร์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 10 กิโลเมตร เป็นแหล่งที่สมบูรณ์ด้วยธรรมชาติใต้ทะเล มีปลาหลายพันธุ์ ปะการังสีสวย และเป็นจุดที่มีโอกาสพบฉลามวาฬ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล ช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางท่องเที่ยว คือ เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนเมษายน ส่วนเดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคมนั้น เป็นช่วงที่มีลมมรสุม ฝนตกชุก คลื่นลมแรง ไม่เหมาะจะมาท่องเที่ยวค่ะ    












ข้อมูลและภาพ:wiki/google /dekdee.com
เรียบเรียง:thail-journey.blogspot.com







    

ป้ายกำกับ: ,

10 ขนมไทยโบราณหากินยาก

10 ขนมไทยโบราณหากินยาก


10.ขนมพันตอง

         ขนมพันตอง แบ่งเป็น 2 ส่วน แยกเป็น 2 ห่อ ห่อแรกคือส่วนผสมของ

ไส้ ประกอบด้วยมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊บ แล้วนำมาปั้นเป็นก้อน อีกห่อ

ประกอบด้วย หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาล แล้วตักใส่ห่อ เพื่อความ

อร่อยยิ่งขึ้นควรจะรับประทานพร้อมกัน เพราะตัวแป้งและตัวไส้จะอร่อย

กลมกล่อมอย่างลงตัว




9.ขนมลา


     ขนมลา เป็นขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้ ของประเทศไทย ซึ่งทำ

มาจากแป้งข้าวเจ้า เป็นขนมสำคัญหนึ่งในห้าชนิดที่ใช้สำหรับจัดเพื่อนำไป

ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นงานบุญประเพณีที่

สำคัญของจังหวัดในภาคใต้ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัด

นครศรีธรรมราช สงขลาโดยอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ขนม

ลาปรุงขึ้นเพื่อเป็นเสมือนแพรพรรณเสื้อผ้า




8.ขนมเกสรชมพู่

    ขนมไทยโบราณ เมื่อได้มองครั้งแรกอาจจะคิดว่าขนมชนิดนี้คือ

“ข้าวเหนียวเเก้ว” แต่ถ้าพิศมองให้ดีจะเห็นถึงความแตกต่างอย่าง

ชัดเจน เพราะมีลักษณะแข็งกระด้างของข้าวเหนียว ส่วนเกสรชมพู่

จะดูนุ่มนวล อ่อนโยน ที่ทำจากมะพร้าวขูดขาว ผัดกับน้ำและน้ำตาล

ทราย ใส่วุ้นกวนให้เข้ากันใส่สีชมพูแก่ แล้วตักใส่ถ้วย เรื่องรสชาติ

เอกลักษณ์



7.ขนมโพรงเเสม

     ขนมชนิดนี้ใช้ในพิธีแต่งงาน โดยแทนเสาบ้านเสาเรือน เพื่อให้คู่บ่าว

สาวอยู่กันยั่งยืนและร่ำรวย ลักษณะคล้ายๆขนมทองม้วน แต่ขนมชนิดนี้จะมี

ความแตกต่างอยู่ตรงที่มีน้ำตาลเคลือบพันร้อยอยู่ที่ตัวขนม เมื่อตัวขนมได้

ถูกบดขยี้กับฟันและลิ้นที่สัมผัสรส จะให้ความรู้สึกกรุบกรอบน่ากัดกิน ผสม

กับความหวานของน้ำตาลที่เคลือบขนมอย่างลงตัวไม่ที่ไม่หวานมากนัก ก็

ยิ่งทำให้ขนมชนิดนี้เหมาะสำหรับการกินเล่น



6.ขนมตูโบ้

      ต้มบวดรวมมิตร อาหารหวานท้องถิ่นภูเก็ต ทำจากถั่วแดงเม็ดเล็ก

มันเทศ เผือก และแป้งมันสำปะหลัง  ต้มรวมกันในน้ำกะทิเติมน้ำตาลและ

เกลือพอให้มีรสหวานนำและเค็มปะแล่ม จะทานร้อนๆหรือเติมน้ำแข็งก็ได้



5.ขนมเทียนเเก้ว

      ขนมเทียนแก้ว หรือ ขนมนมสาว เปรียบเสมือนแสงสว่าง ลักษณะที่

สวยถูกต้อง ต้องปลายแหลม และฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส วางได้โดยไม่

เสียรูปทรง ทำจากถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก กวนกับกะทิและน้ำตาลทราย

อบด้วยควันเทียน ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ นำแป้งถั่วเขียว หรือแป้งซ่าหริ่ม กวน

กับน้ำตาลทราย และน้ำลอยดอกมะลิ



4.ขนมสามเกลอ

      เป็นขนมเสี่ยงทายในพิธีแต่งงาน ถ้าขนมยังติดกันทั้ง 3 ลูกในขณะที่
ทอด หมายความว่า คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานจะอยู่ด้วยกันดี ตลอดจนมีลูก

ด้วยกัน แต่ติดกันอยู่เพียง 2 ลูก หมายความว่า มีลูกยากหรือไม่มี ถ้าแยก

หรือหลุดออกทั้ง 3 ลูก หมายความว่า อยู่ด้วยกันไม่ยืดยาว



3.ขนมตะลุ่ม
 



      ตะลุ่ม มีสองส่วน คือส่วนตัวขนม ทำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้ง

มันสำปะหลัง น้ำปูนใส และหางกะทิ นำไปนึ่งจนสุก ส่วนของตัวหน้า ได้แก่

หัวกะทิ ไข่ และน้ำตาล ใส่แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย แล้วเทลงบนตัวที่สุกแล้ว

นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำหรือลักษณะตามชอบ


2.ขนมหม้อตาล

        เป็นขนมโบราณ ที่ใช้ในพิธีแต่งงาน เรียกว่า “หม้อเงิน หม้อทอง” ตัว

ถ้วยขนม ผสมแป้งสาลี น้ำเย็น ไข่แดง กรุแป้งในพิมพ์หม้อตาล อบให้สุก

ไส้ ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำเคี่ยวให้ข้น ตักใส่ถ้วย หยดสีตามต้องการ

หยอดลงในพิมพ์ ให้น้ำตาลแห้ง 



1.ขนมบุหลันดั้นเมฆ

       ลักษณะของขนมจะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ เป็นขนมชาววังคิดประดิษฐ์

ขึ้น ให้มีสีสันอุปมาอุปไมยเลียนแบบเพลงไทย‘บุหลันลอยเลื่อน’ ซึ่งเป็น

เพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 มี 2 ส่วน คือ ส่วนตัวขนม ทำจากแป้ง

ข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย หยอดลงบนถ้วยตะไล เมื่อนำ

ไปนึ่งตรงกลางจะบุ๋มลงไป ส่วนตัวหน้าขนม ประกอบด้วย ไข่ กะทิ น้ำตาล

มะพร้าว และนำไปนึ่งต่อจนสุก เมื่อรับประทานจะให้ความรู้สึกถึงความหอม

หวานของน้ำดอกอัญชันกับกลิ่นน้ำตาลมะพร้าว









ข้อมูลและภาพ:wiki/google /www.toptenthailand.com 
เรียบเรียง:thail-journey.blogspot.com








ป้ายกำกับ: ,